หุ้น มี 2 ส่วน
1.
มูลค่าของบริษัท
2.
ราคาหุ้น หรือ price
มูลค่าบริษัท
ดูจากการทำธุรกิจ งบการเงิน และอื่นๆ จะได้มูลค่าแท้จริงออกมา
กลุ่มคนที่เรียกว่า
value
investor เขาจะหามูลค่า
แล้วมาดูราคาหุ้น ถ้าราคาหุ้นถูกกว่ามากๆ จะเกิด ส่วนแห่งความปลอดภัย หรือ margin of safety ซึ่งเป็นหลักการลงทุนของ
warrant
buffet
ส่วนพวกที่เรียกตัวเองว่า
trader หรือ คนเล่นหุ้น
จะดูความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น และหากำไรจากส่วนต่างของมัน
ซึ่งในที่สุดจะปรากฏทุกอย่างออกมาในรูปกราฟ
trader
จะต้องรู้ให้แท้จริง
เกี่ยวกับ แรงซื้อและแรงขาย เพราะจะรู้ถึงทิศทางของราคาหุ้น
value
investor มีแนวคิดว่า
หุ้นจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางของมูลค่าที่แท้จริงของมันเสมอ
trader
จะคิดว่า
หุ้นจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางของแรงที่ชนะเสมอ
แต่
แรงที่ชนะ ไม่ได้หมายถึง แรงที่คนซื้อไปในทิศทางของมูลค่า แต่จะหมายถึง
แรงที่จะพาไปให้ได้กำไร
ดังนั้น
value
investor จึงควรหาจังหวะเข้าลงทุน
เมื่อแรงที่ชนะไปในทิศทางของมูลค่า
และ
trader ควรหาจังหวะเข้าซื้อ
เมื่อมูลค่าที่แท้จริงเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของแรงที่ชนะ
การ list หุ้น
เป็นขั้นตอนแรกในการจะซื้อขายหุ้น ให้ทำดังนี้ เลือกตัวที่จะติดตาม
โดยในแต่ะวัน จะต้องนำหุ้นที่มีลักษณะดังนี้ เข้ามาใน list
1.1 ช่วงการซื้อขาย กว้างกว่า 5%
ของราคาหุ้น
โดยไม่สนใจราคาเปิด
ปิด เช่น หุ้น aaa
ราคา
10 บาท ในวันนั้น มีช่วงการซื้อขาย 10.1 - 10.8 แต่ราคา ปิดเป็น 10.5
ก็นำเข้ามาใน list
1.2 volume เพิ่มจาก 10 วัน ก่อนหน้าเฉลี่ย มากกว่า
300% เช่นหุ้น aaa
10
วันที่ผ่านมา มี volume
เฉลี่ย
200000 หุ้น แต่ในวันนั้น มี volume 800000 หุ้น และให้ดูเฉพาะ ตัวที่ไม่ลบช่วงราคา คือ
สภาวะของหุ้น ถ้าช่วงราคากว้าง บ่งชี้ ว่าคนซื้อไล่ตาม คนขายถอยหนี เป็นสภาวะ
กระทิง หรือ ขาขึ้นสมบูรณ์แบบ
volume
คือ
พลังหรือ power
ของหุ้นช่วงราคา
และ volume
ประกอบกันเป็น
พลังการเหวี่ยงตัว หรือ
momentum
1.3 break ราคา high คือ
มีการยอมให้ราคาที่สูงกว่าปกติแสดงว่า หุ้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมากๆ
ในระยะนั้นๆ เช่น break ราคาสูงสุดของ 20 วัน คือ ดีขึ้นใน 1 เดือน break 200 วัน คือ
ดีขึ้นที่สุดในรอบ 1 ปีเมื่อ ได้ list หุ้นแล้ว
ให้ติดตามหุ้นตัวนั้นไปทุกวันนับแต่นั้นจำไว้ว่า อย่าเพิ่งเข้าซื้อ ขอเน้นว่า
อย่าเพิ่งเข้าซื้อ เพราะ ทั้ง 3
ข้อที่กล่าวมา
ยัง ไม่ได้หมายความว่า หุ้นจะขึ้นไปอย่างแท้จริงในตอนนั้นต้องรอให้หุ้นพักตัวก่อน
แล้วดูลักษณะการพักหุ้นเกิน 50% ของ list จะ break ในตอนแรก
แต่ยืนไม่อยู่และตกกลับในที่สุดแต่ถ้า break 200 วันขึ้นไป 90% ขึ้นแน่ๆ
ขั้นตอนนี้ จะทำการติดตาม หุ้นที่ list ไว้ หุ้นที่เข้าเกณฑ์
เพื่อเตรียมซื้อ มีลักษณะดังนี้
1.
break new
high ในระยะเวลาหนึ่งเช่น
60 หรือ 200 วันอย่างแท้จริง (true break out)
การ
break แท้จริง
มีลักษณะดังนี้
1) break ด้วย ช่วงราคากว้างมาก ( มากกว่า 5%
ของราคา )
ข้อนี้ ไม่ต้องดู volume
2) break ช่วงไม่กว้าง แต่ volume มากกว่า volume
ที่แนวต้านนี้ในครั้ง ก่อน
3) break ด้วยช่วงไม่กว้าง volume ไม่มาก แต่ยืนอยู่ได้
3
วันไม่ตกกลับไป
2.
หลัง break
มีการพักตัวอย่างดี
การพักตัวที่ดี มีลักษณะดังนี้
2.1) ราคาลบไม่มาก volume น้อยลงกว่าวัน break ยิ่งน้องมากยิ่งดี
2.2) ราคาไม่ลงต่ำกว่า จุด break (pivot point หรือจุดเป็นตายของหุ้น)
2.3) เวลาพักตัวไม่นานกว่า 20 วัน
ยิ่งน้อยวันยิ่งดี โดยปกติ 10 วันถือว่านาน มากไปแล้ว
3.
การพักตัวเสร็จสิ้นแล้ว หุ้นจะขึ้นต่อ โดยการพักตัวเสร็จสิ้นมีลักษณะ ดังนี้
3.1 low ของวัน มีการยกตัว 2 ครั้ง
3.2 volume เพิ่มขึ้นจากวันก่อน
3.3 ช่วงราคากว้างขึ้นจากวันก่อน
สรุปคือ
เมื่อหุ้น
break แล้ว พักตัวดี และ
พักตัวเสร็จให้เตรียมเข้าซื้อได้แล้ว คือ ตกลง เลือกหุ้นตัวนี้แล้ว
จุดเข้าซื้อหุ้น (entry point)
จำไว้ว่า
เมื่อใดก็ตามที่หุ้น แสดงตัวว่า ไม่ลงต่ำกว่า pivot point
(
จุด break)
ให้สามารถเข้าซื้อได้ทันที
หลักการนี้
จะทำให้เรา เข้าซื้อได้ 2 จุด คือ
1. ราคาที่พักตัวเสร็จสิ้น
2. ราคา ที่เหนือ กว่า high ของวัน break
ในข้อ
1 จะได้หุ้นราคาต่ำกว่า 2 แต่ ความแน่นอนน้อยกว่า
แนะนำว่า
ถ้าไม่ มีเวลาเฝ้า ให้ซื้อราคา 2 แต่ถ้ามีเวลาเฝ้าจอ ให้ซื้อราคา
1เมื่อได้จุดเข้าซื้อแล้ว ให้ซื้อแบบนี้
แบ่งการซื้อเป็น
2-4 ครั้ง อย่าซื้อหมดในครั้งเดียว เพราะถ้าหุ้นตกกลับ ท่านจะ เสียหายหนัก
ถ้าจะซื้อ
2 ครั้ง ให้ซื้อ 50% และ 50%
ถ้าจะซื้อ
3 ครั้ง ให้ซื้อ 25% 25% และ 50%
ถ้าจะซื้อ
4 ครั้ง ให้ซื้อ 20% 20% 20% และ 40%
ทำไม
ครั้งสุดท้ายจึงซื้อมากที่สุด เพราะ แน่ใจที่สุดว่าหุ้นขึ้นแน่ๆแล้วเมื่อซื้อ จน
ครบแล้ว
รอ
รอ รอ
การขายหุ้น (exit point) เป็นจุดสำคัญที่สุด
ในการเล่นหุ้น
การขายหุ้น
ให้ขายเมื่อพบลักษณะดังนี้
1. ราคาตกต่ำกว่าจุด break (pivot point) ให้ขายทันที
โดยไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องหาเหตุผลใดๆ
เพราะ ถ้ามันตกได้ จะไม่มีใครบอกเหตุผลท่านก่อน เขาจะ ขายก่อน ปล่อยให้ท่านติดหุ้น
2. หุ้นแสดงการพักตัว ครั้งต่อไป โดยพบว่ามี
lower
high หรือ
จุดสูงสุดของ
วัน ต่ำลงติดต่อกัน 2 ครั้ง (หลักการของ Nicholas Darvas หรือ Box theory)
3. ถึงจุดพอใจของเราแล้ว
(ขายเมื่อไหร่ก็แล้วแต่คุณ)
4. รู้สึกไม่สบายใจ เมื่อถือหุ้นตัวนี้อยู่
โดยไม่มีสาเหตุ เช่นนอนไม่หลับ ซื้อ แล้วเครียด คือ ถ้าไม่สบายใจที่จะถือ ขายทันที
โดยไม่ต้องมีเหตุผลอื่น
ส่วนใหญ่เป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับ
volume
และ
spread ราคาของหุ้นร่วมกัน
หรือ วิเคราะห์ ปริมาณและช่วงกว้างของราคาการซื้อขายของหุ้นครับ
หลักการสำคัญอยู่ที่ว่า การซื้อขายหุ้น ในที่สุด จะสั่งซื้อขายเป็น 2 ปัจจัยสุดท้ายเสมอ
คือ
ราคา
และ ปริมาณการซื้อขาย
ดังนั้น
ถ้าเราเอา 2 ปัจจัยนี้
จากคนซื้อขายมากๆ มาวิเคราะห์จากกราฟ จะทำให้เรารู้ว่า
เกิดอะไรขึ้นแล้วในหุ้นตัวนั้น ซึ่งเป็นความจริง (fact) ไม่ใช่การพยากรณ์
ขอเน้นนะคับว่าเป็นการอ่านสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
ไม่ใช่การคาดการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เมื่อพบว่า ซื้อหุ้นปั๊ป
1.
หุ้นลง
ต้องถอยมาคิดใหม่แล้ว เพราะคงไม่มีใครซื้อหุ้นที่คิดว่าจะขึ้น แล้วมาบอกตัวเองว่า
หุ้นที่มันจะขึ้น ซื้อปั๊ป มันต้องลงก่อน
2.
หุ้นไม่ขึ้น
ให้รอ รอนานแค่ไหน แล้วแต่คน เพราะการรอ ก็เสียโอกาส ขาดทุนเวลาเช่นกัน
สำหรับตัวเองรอ 2 วัน ไม่ขึ้น ขายทิ้ง
ถือว่าดูผิด
หุ้นลงแค่ไหน จึง cutloss คำตอบคือ
แล้วแต่เรากำหนด เซียนหุ้นของโลกที่ผ่านมา กำหนด 2 ค่า คือ 7% กับ 10%
แต่ที่กำหนด 3% เพราะถ้าซื้อปั๊ป
ลงไป 3% เลย
มันมีอะไรผิดปกติแล้ว น่าจะออกมาดูสถานการณ์ก่อน ยอมรับผิดกับมันไปเถอะ
การ
cut
loss ทำเพื่อให้เรามีเงินไปเล่นหุ้นตัวอื่นที่มีอนาคตมากกว่า
จำไว้ว่า
การติดหุ้น เป็นสภาพที่เลวร้ายที่สุดของการเล่นหุ้น เสียเท่าไหร่ไม่ว่า
อย่าติดหุ้น
การติดหุ้น
เหมือนเศรษฐี มีที่ดินราคา 1000
ล้านบาท แต่ไม่มีเงินสดไปซื้อข้าวกิน
การรอให้ราคาขึ้นกลับ
จะได้หลุดหุ้นที่ติด เป็นการหลอกตัวเองและเสียเวลา เพราะระบบความคิดที่ว่า
หุ้นที่เราซื้อมา ซื้อปั๊ปลงเลย เดี๋ยวมันก็ขึ้นกลับ
มันไม่ใช่ระบบการเล่นหุ้นที่ดีอะไรเลย การซื้อหุ้น ซื้อปั๊ป ต้องขึ้นเลย
เมื่อใด
ที่เราต้อง cut loss ?
คำตอบคือ
เมื่อพบว่าตัวเองซื้อผิดแล้ว
ให้
cut
loss ทันที
เมื่อทิ้งไปแล้วจะเกิดผล 2 อย่าง
1.
หุ้นลงต่อ
ก็ดีแล้ว ที่คัทไป
2.
หุ้นขึ้นกลับ
ก็ดีแล้ว เพราะถ้ามันลงต่อ ใครจะมารับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น
การ
cut loss จึงเหมือนการ
ประกันภัยรถยนตร์ ไม่ชนไม่เป็นไร ยอมเสียเบี้ย แต่ถ้าชนหนัก ไม่ต้องเสียหายมาก
อุ่นใจกว่า
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดที่ต้องมีในผู้ที่จะเล่นหุ้นแล้วได้กำไร
คือ
การรู้จักรับผิดในการกระทำของตัวเอง
แล้วรีบแก้ไขซะ นั่นคือ การ cut loss อย่างว่องไว เมื่อรู้ว่า ซื้อผิดตัวแล้ว เปรียบเสมือนทีมฟุตบอลที่ดี
ที่มีกองหลังแน่น ถึงไม่ชนะ แต่ก็ไม่แพ้ เสมอได้แต้ม แพ้ไม่ได้แต้ม
จำไว้
cut loss ว่องไว
จะทำให้กำไรหุ้น
การอ่านกราฟ ต้องยึดถือหลักการว่า
รูปแบบกราฟ
คือ ผลรวมของทุกอย่างในตัวหุ้นนั้นแล้ว ผลรวมทุกอย่าง คือ ปัจจัยพื้นฐาน ข่าวจริง
ข่าวเท็จ ลับ ลวง พราง ทุกอย่าง จะสรุปสุดท้ายเป็นรูปกราฟ ขบวนการซื้อหุ้นทุกชนิด
คำสั่งสุดท้ายในการซื้อ จะมี 2
ปัจจัยเท่านั้น คือ
ราคา
และ ปริมาณการซื้อขาย
การวิเคราะห์เทคนิค
ต้องเอา 2
ปัจจัยนี้มาวิเคราะห์ร่วมกันเสมอ ไม่เช่นนั้น จะผิดพลาด
การ
break
out หรือ
การทะลุ มี 2 แบบ คือ
break
out แนวต้าน
กับ break
out แนวรับ
เมื่อการเกิดการทะลุ จะเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นแล้ว อาจจะขึ้น หรือ ลง
ทำไมหุ้นถึง
break กรอบการไม่เคลื่อนไหว? ก็เพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในตัวหุ้นนั้น
ดังนั้น การ break
จึงเป็นสัญญาณที่สำคัญที่สุด
ที่จะบอกว่า หุ้นได้เคลื่อนไหวแล้ว กำไรที่มาก จะมาจากการเล่นเมื่อ break ส่วนการเล่นในกรอบ
จะกำไรน้อย เพราะมันไม่มีการเคลื่อนไหวของราคา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น